webnovel

จารใจรัก

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ เซี่ยฟางหวา บุตรสาวของจวนจงหย่งโหว ยอมสละตนเองไปเข้าร่วมการฝึกฝนกับองครักษ์เงาที่ภูเขาไร้นามตั้งแต่อายุเจ็ดขวบเพื่อค้ำจุนวงศ์ตระกูลในภายภาคหน้า ผ่านไปแปดปี นางทำลายภูเขาไร้นามจนสิ้น ปลอมตัวกลับเข้ามาที่เมืองหลวงอีกครั้ง แต่โชคชะตาเหมือนเล่นตลกให้นางต้องพบกับเขา อ๋องน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋อง พบกันเพียงครั้งนางกลับสลัดเขาไม่หลุด ไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะดั้งเดิมของตนได้ ทั้งยังต้องไปเป็นหญิงใบ้คอยรับใช้ข้างกายเขาอีก กลยุทธ์ วิชาแพทย์ นางล้วนฝึกฝนจนแตกฉาน แต่กับ ฉินเจิง ผู้นี้ นางกลับจนปัญญาที่จะต่อกรด้วยจริงๆ

ซีจื่อฉิง · History
Not enough ratings
1231 Chs

ส่วนที่ 1 บทที่ 007 คนชั่ว

บทที่ 7 คนชั่ว

สิ้นเสียงฮ่องเต้ก็มีคนผู้หนึ่งกลิ้งหลุนๆ เข้ามาจากข้างด้านนอกพลางส่งเสียงพึมพำ

คนผู้นั้นกลิ้งผ่านประตู กลิ้งผ่านขาของเซี่ยฟางซูฮว๋าหวา กลิ้งผ่านเก้าอี้ของจงหย่งโหว กลิ้งมาถึงหน้าตู้หนังสือของฮ่องเต้

ฮ่องเต้ชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะไล่ออกไปบริภาษว่า “เหลวไหลนักก่อเรื่องวุ่นวาย ไสหัวกลิ้งออกไป!”

คนผู้นั้นกลิ้งหลุนๆ ออกไปงออกไปพลางส่งเสียงพึมพำอีกครั้ง ครั้งนี้กลิ้งออกจากประตูไปอย่างรวดเร็ว

เซี่ยฟางซูฮว๋าหวาเห็นเพียงแค่ผ้าดิ้นเงินดิ้นทองปักลายและรองเท้าขนเตียวสีขาวเท่านั้นที่ชัดเจน กล้ายืนเผชิญหน้าทำเช่นนี้ต่อหน้าพระพักตร์องค์กับฮ่องเต้้เช่นนี้แถมคนที่สวมชุดเช่นนี้ เกรงว่าจะมีเพียงคนเดียวแล้ว มิน่าล่ะเล่าถึงสามารถเดินไปทั่วหนานฉินได้

ฮ่องเต้ทั้งโกรธทั้งขันยิ้มเคืองโดยทันที จากนั้นก็ยื่นมือชี้ไปที่ประตูและกล่าวกับจงหย่งโหวว่า “เจ้าดูดู!สิ เจ้าเด็กซนอย่างกับลิงคผู้นนี้เขาเคยฟังที่เราพูดที่ไหนกัน”

จงหย่งโหวยิ้มออกมา ลูบเคราพลางกล่าวว่า “ ในบรรดาราชนิกุลรุ่นลูกหลานของฝ่าบาท คุณชายสองผู้สูงส่งคุณชายรองเจิงยอดเยี่ยมล้ำเลิศ หาได้ยากจริงๆ!”

“เจ้ายังจะชมเขาอีก!” ฮ่องเต้ไม่พูดสักคำ และหันไปกล่าวกับข้างนอกว่า “ยังไม่เข้ามาอีก!”

ม่านถูกเปิดออก ร่างกายผอมสูงเดินเข้ามาอย่างมีระเบียบ หน้าตาที่ดูดีเป็นพิเศษประดับด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความลำพองใจ เขาคุกเข่าน้อมคำนับลงบนพื้น “ถวายบังคมเสด็จอา!”

“ถวายบังคม?” ฮ่องเต้กดเสียงต่ำ “ไม่ถูกเจ้ายั่วทำให้โมโหนับว่าเป็นโชคดีของเราแล้ว!”

“ที่ไหนกันเล่า ทุกครั้งที่หลานพบเสด็จอาล้วนทำให้ท่านยิ้มอย่างสบายใจ คนโบราณกล่าวว่า คนที่ยิ้มบ่อยๆ จะทำให้อายุยืน!” ฉินเจิงเงยหน้าขึ้นมา กระพริบตามองจงหย่งโหวที่อยู่ด้านข้าง “สบายดีนะท่านสวัสดีผู้เฒ่าโหว!”

“สวัสดีสบายดีขอรับคุณชายสองผู้สูงส่งคุณชายรองเจิง” จงหย่งโหวพยักหน้าพลางยิ้ม

ฮ่องเต้โบกมืออย่างเบื่อหน่าย “ลุกขึ้นเถอะ”

ฉินเจิงยิ้มพลางลุกขึ้นยืน รูปร่างผอมสูงราวกับต้นจือหลัน

“สูงตั้งเจ็ดฟุตแล้วเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วแท้ๆ คาดไม่ถึงว่ายังทำตัวเป็นเด็กๆ เราว่าเจ้าคงไม่โตไปกว่านี้อีกแล้ว” ฮ่องเต้กวาดสายตามองเขาแล้วกล่าวว่า “ยังไม่เอาป้ายคำสั่งที่ยึดมาคืนให้เขาอีก!”

“ข้าก็คิดว่าเหตุใดเสด็จอาถึงอยากพบข้านัก ที่แท้เป็นเพราะป้ายคำสั่งอันนี้” ฉินเจิงล้วงป้ายคำสั่งที่อยู่ในอกเสื้อออกมาโยนให้เซี่ยฟางซูฮว๋าหวาที่ยืนก้มหน้าอยู่ไม่ไกล

เซี่ยฟางซูฮว๋าหวายื่นมือไปรับ มองครู่หนึ่งถึงเห็นว่าเป็นป้ายคำสั่งอันนั้นจึงล้วงเอาจดหมายลับในอกเสื้อออกมาและส่งให้กับอู๋เฉวียนพร้อมป้ายคำสั่ง

อู๋เฉวียนรับป้ายคำสั่งและจดหมายลับ ตรวจสอบครู่หนึ่งก่อนจะยื่นถวายให้ฮ่องเต้

ฮ่องเต้มองป้ายคำสั่งก่อนแล้ววางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็หยิบจดหมายลับขึ้นมา จดหมายลับใช้ขี้ผึ้งปิดผนึกเอาไว้ บนซองเขียนไว้ว่า “ถึงฝ่าบาทเปิดด้วยองค์เอง” เขาเงยหน้ามองเซี่ยฟางซุฮว๋าหวาก่อนจะฉีกจดหมายออก

เพียงแค่อ่านดู พระพักตร์ใบหน้าที่ปลอดโปร่งขององค์ฮ่องเต้ก็เปลี่ยนไปและลุกขึ้นยืนทันที

จงหย่งโหวซ่อนมืออันสั่นเทาไว้ใต้แขนเสื้อ เขาก็เกือบจะลุกขึ้นยืนด้วยเช่นกัน

ฉินเจิงมองฮ่องเต้ด้วยความงุนงง ครู่หนึ่งก็หันมาสังเกตเซี่ยฟางซูฮว๋าหวา

เซี่ยฟางซูฮว๋าหวายังคงก้มหน้ามองอิฐทองบนพื้นราวกับท่อนไม้ ไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด

ฮ่องเต้อ่านอ่านจดหมายลับจนจบ พระวรกายร่างกายก็สั่นระริกโดยฉับพลัน พระองค์เขาเงยพระพักตร์หน้าขึ้นมองจงหย่งโหวพลางตรัสถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

จงหย่งโหวยืนขึ้นทันที มองพระพักตร์ใบหน้าของฮ่องเต้พลางส่ายศีรษะ และถามอย่างไม่แน่ใจ “หรือจะเป็นมีสายลับสถานการณ์ทางการทหารในชายแดนม่อเป่ย”

“ถ้าหากเป็นสถานการณ์ทางการทหารสายลับก็ดีสิ” ฮ่องเต้แยกแยะสีหน้าของจงหย่งโหวอย่างละเอียด เห็นเขางุนงงไม่ได้เสแสร้งจึงถอนหายใจออกมาแล้วยื่นจดหมายลับให้เขา

จงหย่งโหวเอื้อมมือไปรับ เมื่อลองอ่านดูสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ใบหน้าสูงวัยราวกับไม่อยากเชื่อสายตา ถามด้วยเสียงอันสั่นเทาว่า “นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร”

“แต่ไหนแต่ไรนายพลแม่ทัพอู่เว่ยก็น่าเชื่อถือมาโดยตลาด ย่อมต้องไม่กล้ากุปลอมเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาแน่ ในเมื่อเขาถวายส่งจดหมายลับมารายงาน ก็แสดงว่าเป็นเรื่องจริง มิน่าเล่าละถึงไม่เร่งหนังสือราชการของกรมะทรวงยุติธรรม แต่กลับสั่งให้คนนำมาให้เราอย่างเงียบๆ” ฮ่องเต้ค่อยๆ นั่งลง พระพักตร์ใบหน้าซีดเซียว “เขาไร้นามก่อตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยไท่จู่จนถึงตอนนี้ก็สองร้อยเจ็ดสิบแปดปีแล้ว ผ่านจักรพรรดิมาสิบเอ็ดยุคและไม่เคยเกิดความผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย เราเคยคิดว่าถึงแม้จะรักษาอำนาจไว้ไม่ได้ เขาไร้นามก็ยังคงอยู่ต่อไป ไม่คิดเลยว่าจะถูกโดนฟ้าผ่าลงมา”

จงหย่งโหวหยิบจดหมายลับเงียบๆ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

“นายพลแม่ทัพอู่เว่ยปกป้องชายแดนม่อเป่ย หากม่อเป่ยเกิดเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ควรเป็นเขาที่จะสังเกตเห็นก่อนใครอื่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องใหญ่ขนาดนี้เลย ข้าเห็นวันที่ที่นายพลแม่ทัพอู่เว่ยเขียนบนจดหมายลับนี้ กลับพอดีกันกับวันที่เรามีพระราชโองการให้ฉินอวี้ออกจากเมืองหลวง” ฮ่องเต้ตรัสพูดถึงท่อนนี้ก็ทรงหยุดชะงักไปทันที ราวกับเพิ่งจะนึกขึ้นได้ สีพระพักตร์หน้ามืดครึ้มเคร่งเครียดยากจะเข้าใจ

จงหย่งโหวยื่นจดหมายลับให้ฮ่องเต้ ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์สุ่มสี่สุ่มห้า

“พวกเจ้าออกไปรอข้างนอกก่อน!” ฮ่องเต้ทรงเงียบไปสักพักใหญ่ ราวกับเพิ่งนึกได้ว่าฉินเจิงและเซี่ยฟางซูฮว๋าหวายังอยู่ตรงนี้จึงโบกมือไล่ทั้งสองคนออกไป

ฉินเจิงหันหลังเดินออกไปทันที เซี่ยฟางซูฮว๋าหวาถอยหลังเดินออกไป

อากาศข้างนอกสบายกว่าข้างในห้องหนังสือมาก เซี่ยฟางซูฮว๋าหวาพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ฮ่องเต้ให้นางออกมารอข้างนอกก่อน ไม่ได้อนุญาตให้นางกลับไปจึงยังไม่สามารถกลับได้

“พบเสด็จอาครั้งแรกแต่ไม่ถูกทำให้กลัวจนฉี่แทบราด ดูเหมือนเจ้าจะค่อนข้างมีความสามารถ มิน่าล่ะถึงกล้านำจดหมายลับมาเมืองหลวงเพียงลำพัง อีกทั้งยังกล้าทับสุนัขของข้าตาย” ฉินเจิงเลิกคิ้วมองเซี่ยฟางซูฮว๋าหวา

เซี่ยฟางซูฮว๋าหวาก้มหน้าไม่ตอบกลับทำเป็นไม่ได้ยิน แต่ในใจด่าเขาไปแล้วสองรอบ

“คิดไม่ถึงว่าเขาไร้นามจะถูกฟ้าผ่าวอดวาย ก็สบายเจ้าฉินอวี้มันน่ะสิ” ฉินเจิงลดเสียงลงพูดกับตัวเอง

เซี่ยฟางซูฮว๋าหวาเหลือบมองเขา คิดว่าฉินเจิงกับฉินอวี้มีความแค้นต่อกันหรือ ถึงมีท่าทางอยากที่จะให้เขาตายเป็นอย่างมาก

“เจ้าคงสงสัยมากว่าฉินอวี้ทำอะไรให้ข้า ข้าจะบอกให้ก็ได้ สามปีก่อนข้าถูกใจผู้หญิงคนหนึ่งและอยากจะพากลับจวน แต่กลับถูกฉินอวี้คว้าตัดหน้าไปเสียก่อน” ฉินเจิงพูดอย่างเย็นชา “แย่งคนของข้า ทำให้ข้าไม่พอใจยิ่งหนัก!”

เซี่ยฟางซูฮว๋าหวาเก็บสายตากลับมา สามปีก่อนเขาเพิ่งจะสิบสามสิบสี่เองไม่ใช่หรือ รู้จักการแย่งผู้หญิงแล้ว จริงๆ แล้วเป็นลูกผู้รากมากดีที่แสนจะเจ้าชู้และเสเพลเสียไร้สาระจริงๆ

“เจ้าคิดอะไรอยู่” จู่ๆ ฉินเจิงขยับเข้าไปใกล้เซี่ยฟางซูฮว๋าหวาโดยฉับพลัน

เซี่ยฟางซูฮว๋าหวาถอยไปก้าวหนึ่งก่อนจะส่ายศีรษะ

“ไม่ได้คิดอะไร ใครจะไปเชื่อ! ข้าเห็นว่าใบหน้าของเจ้ากำลังด่าข้าอยู่ชัดๆ” ฉินเจิงก้าวมาประชิด

เซี่ยฟางซูฮว๋าหวาขมวดคิ้วพลางคิดว่า เทพเจ้าแห่งโรคห่าทำไมถึงคลาดสายตาจากเขาไปได้ นางไม่ทันระวังก็ถอยไปจนถึงบันไดเกือบจะล้มลงไป

ฉินเจิงหัวเราะเยาะก่อนจะหยุดฝีเท้า กล่าวอย่างเหยียดหยามว่า “คิดว่าเจ้ามีความสามารถมากมาย ที่แท้ก็มีเพียงเท่านี้” พูดจบก็ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกโยนให้เซี่ยฟางซูฮว๋าหวา “ให้เจ้าไว้เช็ดเหงื่อ!”

ใครจะใช้ผ้าเช็ดหน้าของเจ้าเช็ดเหงื่อกัน เซี่ยฟางซูฮว๋าหวาหันหลังแล้วยื่นมือออกไปหมายจะโยนทิ้ง

“เจ้ากล้าไม่ใช้ดูสิ! เชื่อไหมว่าข้าจะเตะเจ้าตกบันไดตาย!” ฉินเจิงมองนางอย่างโหดเหี้ยม

เซี่ยฟางซูฮว๋าหวาชะงักมือก่อนจะมองเขา เก็บผ้าเช็ดหน้ากลับมาเงียบๆ แล้วเช็ดหน้าผากที่ไร้ซึ่งเหงื่อสักเม็ด

ฉินเจิงยิ้มออกมาพลางกำชับว่า “รักษาผ้าเช็ดหน้าไว้ให้ดี! หลังจากนี้ทุกครั้งที่เจอหน้าข้าต้องหยิบออกมา หากข้าไม่เห็นเจ้าใช้แค่ครั้งเดียว ประตูของจวนจงหย่งโหวก็ไม่ต้องเปิดอีกต่อไปแล้ว เพราะข้าจะทุบมันทิ้งอย่างแน่นอน!”

เซี่ยฟางซูฮว๋าหวาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพยักหน้า

ฉินเจิงหันหลังกลับ เงยมองท้องฟ้า มองจากด้านข้างราวกับว่าเขาอารมณ์ดีมากหลังได้แกล้งคน

เซี่ยฟางซูฮว๋าหวาคิดว่าถ้าหากที่นี่ไม่ใช่ห้องหนังสือ ถ้าหากมิใช่ว่าฮ่องเต้ที่อยู่ข้างในเวลานี้อารมณ์ไม่ค่อยดี นางกล้ารับรองเลยว่า ฉินเจิงคงจะกล้าร้องเสียงต่ำร้องฮัมเพลงเบาๆ ที่นี่อย่างแน่นอน ชั่วชีวิตนางไม่เคยพบเจอคนชั่วเช่นนี้ ชาตินี้ชีวิตที่เขาไร้นาม ศพแข็งทื่อเป็นๆ ยังน่ามองยิ่งกว่าคนตรงหน้าคนนี้เสียอีก