webnovel

ข้ามมิติรักแท้ทะลุออนไลน์

เรื่่องราวของสาวโสดมนุษย์แม่ลูกสามอายุห้าสิบสองปีที่เธอได้รับพรจากพระโพธิสัตว์กวนอิมเมื่อเพียรบำเพ็ญศีลและธรรมจนบรรลุตอนอายุสามสิบห้าปี พรคือยิ่งแก่เธอจะยิ่งสาวขึ้น กับพระเอกละครไทยชื่อดังอายุสี่สิบสี่ปีที่ยังโสดเพราะรอคอยรักแท้ หลังจากแม่ของเธอตายเมื่อสองปีก่อนทั้งสองมักฝันว่าอยู่ด้วยกันแบบคู่รักเสมอๆทั้งที่ไม่เคยพบกันพวกเขาจึงไม่สามารถติดตามหากันได้ จนกระทั่งเขาประกาศผ่านสื่อออนไลน์ให้หญิงสาวที่ชอบเขาจีบเขาก่อนได้เขาอยากสร้างครอบครัวแล้ว เธอถูกดวงวิญญาณของแม่ชักนำให้พิมพ์ใบสมัครส่งไปถึงDMส่วนตัวของเขาในคืนฮาโลวีนซึ่งสะดุดตาเขาให้กดอ่านจนจบแล้วตามหาเธอเจอเพจของเธอ โดยเขาคิดว่าเธอเป็นหญิงสาวอายุน้อยกว่าเขามีเสน่ห์น่าสนใจมากเขาจึงเฝ้าติดตามดูเธอเงียบๆ ส่วนเธอก็สนทนากับเขาทุกวันโดยการเล่าและบ่นเรื่องต่างๆให้เขาฟังทำให้เขามีความสุขและชอบเธอมากจึงสร้างเพจปลอมเป็นผู้หญิงเพื่อขอเป็นเพื่อนและสนทนาเรื่องเป็นแฟนคลับของเขากับเธอเสมอ เรื่องราวของคนทั้งคู่ที่อยู่คนละมิติสังคมแต่เชื่อมโยงกันได้จริงในเวลานอนหลับลึก แต่กว่าจะได้พบกันผ่านการพิสูจน์รักแท้ที่เชื่อมต่อมาจากอดีตชาติเรื่องชุลมุนวุ่นวายสุดที่จะคาดเดาได้จึงเกิดขึ้นมากมาย พวกเขาใช่คู่แท้ทางจิตวิญญาณที่เฝ้ารอคอยกันจริงหรือไม่โปรดติดตาม,,,,,,

DaoistD7FIet · Fantasy
Not enough ratings
53 Chs

ข้ามมิติรักแท้ทะลุออนไลน์ : ตอนที่ 30 ฮาโลวีน2564

ในค่ำคืนของ "วันฮาโลวีน" พุทธศักราช 2564 นิมนิมกำลังเก็บตัว

อยู่เงียบ ๆ ไร้การบ่งบอกถึงสถานที่ ที่ซึ่งเธออยู่ในเวลานั้น ๆ

หลังจากการสูญเสียชีวิตของบุพพการีทั้งสองท่านไปไล่ ๆ กันภายใน 1 ปีกว่ามานี้..

ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของหญิงสาววัยกลางคนผู้ซึ่งขณะนี้มีอายุ 51 ปีแล้ว

เปลี่ยนแปลงไปดั่งฤดูกาลที่ไม่เคยหยุดนิ่งต่อการขยับไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดสิ้นสุด..

"สตรีเหล็กซึ่งเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวลูกสามคน" ในวันนี้นั้น

อาจไม่มีใครรู้ได้อย่างถ่องแท้ ถึงความอ่อนแอภายในที่ถูกสั่งสม

มายาวนาน มิต่างจากต้นไม้ใหญ่ที่ภายในใต้รากนั้น มีปลวกมีหนอน

ชอนไชกัดกินจากข้างใต้ลำต้น อยู่ทุกวัน ๆ เรื่อยมา.....

" นี่เรา เดินผ่านมาได้อีก! จนถึงสิบปีแล้วสินะนี่!? "

นิมนิม กอดตัวเองในท่านั่งกับพื้นห้องและชันเข่าทั้งสองขึ้นแนบอก

ใบหน้าที่เคยงดงามผ่องใสอยู่เสมอ ก้มลงซบกับเข่าทั้งสองข้างของเธอเอง

เพื่อปล่อยให้หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมาดุจทำนบพัง!! ได้มีที่หยุดพัก

แม้เพียงชั่วครู่ชั่วขณะ.... ก่อนที่จะไหลหยดลงไปตามขาและน่องอันเรียวงามของเธอ

จนถึงพื้นห้อง ช่วงนี้เป็นเวลาที่นิมนิมกำลังฝึกเล่นแอปพลิเคชั่นต่างๆที่กำลังได้รับ

ความนิยมในโลกโซเชี่ยลไม่ว่าจะเป็นเฟสบุคส์ อินสตาแกรม และติ๊กต่อก

เธอกำลังพยายามฝึกฝนตนเองในเทคโนโลยี่สมัยใหม่ เพื่อให้สามารถปรับตัวดำรงชีวิต

อยู่ต่อไปให้จงได้! ในท่ามกลางโลกยุค 5 G ซึ่งทุกสิ่งเปลี่ยนไปไวจนกลายเป็นโลก

และสังคมสำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีอายุรุ่นราวคราวลูกคราวหลานของอายุเธอ

---- "วันฮาโลวีน"

เทศกาลเฉลิมฉลอง ที่มาพร้อมกับความเชื่อ

ถึงการมีอยู่ของ "โลกหลังความตาย"

ดินแดนปริศนา ที่คนเป็นรับรู้ได้ จากการบอกเล่าเพียงเท่านั้น!! ----

(อ้างอิงจาก : 31 ตุลาคม "วันฮาโลวีน" กับความเชื่อเรื่อง "โลกหลังความตาย"

By กมลวรรณ มาดายัง 31 ต.ค. 2564 เวลา 1:00 น. *หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ*)

.. .. .. ..

" วันนี้เป็นวันฮาโลวีน ซีนะ! ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ

เพราะทุกๆวันก็ไม่ต่างกัน แต่... อือ.....กดดูในอินสตาแกรม

คนไทยเห่อไปกับเขาทุกเทศกาลอีกแล้ว "

หญิงสาวที่อายุขึ้นสู่เลข 5+ แต่กลับมีรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ เหมือนกับ

สตรีสาวซึ่งคงมีอายุไม่น่าจะเกิน 35 ปีเป็นอย่างมากเท่านั้น!! คนที่ไม่เคยรู้จัก

เธอจริงๆมาก่อนมักจะคิดกันเช่นนั้น คำเรียกขานที่คนแปลกหน้าเรียกเธอ

จึงเป็นคำว่า: พี่ๆ , น้องๆ, น้าๆ หาใช่คำว่า : แม่ๆ , ป้าๆ ,ยายๆ ตามวัยที่แท้จริงไม่

นิมนิม รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่สะสมมานานในจิตใจและร่างกาย

อันบอบบางของเธอ ตั้งแต่ช่วงกลางปีมานี้ เธอไปโรงพยาบาลบ่อยขึ้น

เพื่อตรวจเช็คอาการแปรปรวนต่างๆ ซึ่งมักเกิดขึ้นแบบกระทันหัน!

ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย!! เธอเท่านั้นเป็นผู้ที่รู้ดีกว่าแพทย์เสียอีกว่า..

เป็นเพราะเธอเคยตายไปแล้วทั้งเป็น!!! แต่ด้วยผลบุญที่สั่งสมมาตลอด

ได้ปกป้องจิตวิญญาณเอาไว้ ทำให้เธอสามารถกลับฟื้นคืนมา

มีลมหายใจอยู่ต่อมาได้เรื่อยๆ ทว่า! มันก็ยังไม่สามารถฟื้นฟูทุกอณู

ในธาตุสี่ของร่างกายเธอนี้ ให้กลับมาแข็งแรงได้เช่นเดิม

" บาดแผลที่กัดกิน ลึกเข้าไปข้างใน วันแล้ววันเล่า

ชีวิตที่มีเรื่องราวสลับซับซ้อน แต่ไม่มีเวลาจะมานั่งเล่าให้ใครฟัง!!

จิตใจที่โหยหาความรักที่แท้จริง ซึ่งสามารถใช้เพื่อเป็นโอสถวิเศษ

ที่จะปลุกคนใกล้จะตาย! ให้ฟื้นตื่นขึ้นมากลับเป็นคนปกติได้ใหม่ อีกครั้ง"

เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเบาๆ พร้อมๆกับเสียงสะอึกสะอื้นร่ำไห้

จนกายสั่นสะท้าน!! ร่างสะเทือนรุนแรงจนหายใจต่อไปแทบจะไม่ไหว!!!!

นิมนิม ค่อยๆสูดลมหายใจเข้า....ลึกๆ....ช้าๆ..... เพื่อเป็นการช่วยชีวิต

ของตนเองจากภาวะโรคลมชักในสมองแบบวูบ! ซึ่งเป็นความผิดปกติ

ที่เป็นดุจยมฑูตผู้เงียบสงบ เนื่องจากการประสบอุบัติเหตุอย่างรุนแรง

ทางสมอง ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2554 เป็นต้นมา นั่นเอง

" In younger days, I told myself my life would be my own

And I'd leave the place where sunshine never shone

For my life's too short for waiting when I see the rising sun

Then I know again that I must carry on

Carry on till tomorow, there's no reason to look back

Carry on, carry on, carry on

Beyond the shadows of the clouds and onward to the sky

Carry on till I find the rainbow's end

For my life's too short for waiting when I see the rising sun

Then I know again that I must carry on

Carry on till tomorow, there's no reason to look back

Carry on, carry on, carry on

Drifting on the wings of freedom, leave this stormy day

And we'll ride to tomorrow's golden fields

For my life's too short for waiting when I see the rising sun

Then I know again that I must carry on

Carry on, carry on, carry on

And when the heavy journey's done, I'll rest my weary head

For the world and it's colours will be mine

For my life's too short for waiting when I see the setting sun

Then I know again that I must carry on

Carry on till tomorow, there's no reason to look back

Carry on, carry on, carry on

.... ...

ตอนเป็นเด็กฉันบอกกับตัวเองว่า

ฉันต้องเป็นเจ้าชีวิตของฉันเอง

และฉันจะไปจากที่ที่แสงอาทิตย์ไม่เคยส่องถึง

... ไม่มีโอกาส ไร้อนาคต

*เพราะชีวิตฉันสั้นเกินกว่าจะรอคอย

เมื่อเห็นอาทิตย์ขึ้น

ฉันก็รู้ทันทีว่าฉันต้องไปต่อไป

ไปให้ถึงพรุ่งนี้ ... วันใหม่ อนาคต

... ไม่มีอะไรให้ต้องเหลียวหลัง

ไปต่อไป

เหนือเงาก้อนเมฆ และมุ่งตรงสู่ท้องฟ้า

ก้าวไปจนได้พบสุดปลายรุ้ง

ล่องลอยไปกับปีกแห่งอิสรภาพ

ทิ้งวันทุกข์ยากนี้ไว้

และไปสู่ทุ่งทองของพรุ่งนี้

และเมื่อการเดินทางที่ลำบากจบสิ้นลง

ฉันจะพักใจที่เหนื่อยล้า

เพราะฉันจะได้ครอบครองโลกและสีสันของมัน ...

ทุกข์สุขจากชีวิตที่ผ่านมาเป็นโลกของเราเอง ...

เพราะชีวิตฉันสั้นเกินกว่าที่จะรอคอย

เมื่อเห็นอาทิตย์ตก

ฉันก็รู้ทันทีว่าฉันต้องไปต่อไป

ไปต่อไปจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้

ไม่มีอะไรให้ต้องเหลียวหลัง

ไปต่อไป ไปต่อไป ไปต่อไป

เพลง : Carry On Till Tomorrow - โดย : ศิลปิน Badfinger

( เนื้อเพลง: Carry On Till Tomorrow เพื่อประโยชน์ในการศึกษา และ

อ้างอิงเท่านั้น! สิทธิ์ในเนื้อเพลงยังคงเป็นของผู้ประพันธ์หรือผู้ถือสิทธิ์เช่นเดิม )

...

นิมนิม เริ่มหอบและหายใจได้ลำบากมากขึ้นๆ เนื่องจากอาการ

ลมชักที่กำลังดันลมภายในกายของเธอ จากปลายเท้าขึ้นสู่ลำตัว

และกำลังจะเคลื่อนขึ้นมาถึงบริเวณลิ้นปี่ ซึ่งเป็นจุดแห่งความเป็นความตาย!!

เธอเช็ดน้ำมูกและน้ำตาด้วยกระดาษทิชชู่จำนวนมาก ก่อนที่จะตั้งสติ!

ค่อยๆ พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนเกาะฝาผนังห้องนอน แล้วจึงค่อย ๆ

เดินพิงข้างฝาไปจนถึงโต๊ะที่วางยารักษาโรคต่างๆ ของเธอเอาไว้จำนวนมาก!!

เธอรีบค้นหายาที่จำเป็นสำหรับระงับบรรเทาอาการป่วย

ซึ่งกำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆในตอนนี้ แล้วจึงรีบหยิบใส่ปาก

ก่อนตักน้ำดื่มในกระติกที่ตั้งอยู่บนโต๊ะยา ดื่มตามลงไป.....

จากนั้นนิมนิมจึงขยับตัวของเธอไปถีงเตียงนอน เธอนั่งลงบนเตียง

แล้วนำหมอนสามสี่ใบมาวางทับกันให้สูงที่บริเวณหัวเตียง

เพื่อให้หลังของเธอรวมทั้งศีรษะพิงไปกับหมอน ในท่านั่งเหยียดแขน

เหยียดขา.... รอเวลาที่ยาจะออกฤทธิ์บรรเทาอาการอันทุกข์ทรมานและอันตรายนี้

" คนไข้เคยชัก! ไม๊ครับ? "

แพทย์หนุ่มอายุรุ่นลูก ซักถามผู้ป่วยคือนิมนิมอย่างอ่อนโยน

" ยังไม่เคยค่ะ เพราะคุณหมอที่เป็นผู้รักษาอาการเลือดคั่งในสมอง

ตอนตกรถเมล์ที่กรุงเทพฯ เมื่อปีพุทธศักราช2554 เคยกำชับฉันเอาไว้ว่า

: จากนี้ไปสภาพร่างกายคนไข้จะไม่เหมือนเดิม! เนื่องจากสมองซีกซ้าย

ด้านหลังครึ่งซีกนั้นแตกละเอียด!!!! ดังนั้นเมื่อสมองซึ่งเป็นตัวสั่งการทำงาน

ทุกส่วนในร่างกายบาดเจ็บรุนแรงเช่นนี้ เราจะต้องใจเย็นๆ ให้เวลาสมอง

เขาซ่อมแซมตัวเอง เราจะต้องยอมรับความเป็นจริงของเราให้ได้ก่อนว่า....

จากนี้ไปไม่มีสิ่งใดทำงานได้ปกติดังเดิมอีกแล้ว แต่ อย่าอ่อนแอและอย่าท้อแท้

ให้ทานยากันชัก รวมทั้งยาทุกตัวตามที่หมอสั่งนี้ไปเรื่อยๆ จนครบ 2 ปี ร่วมกับ

การบริหารทำกายภาพสมองทุกวันไปเรื่อยๆ รวมทั้งต้องระมัดระวังไม่ให้

มีเหตุกระทบกระเทือนแก่สมองหรือศีรษะของเราอีก!! ในเวลาที่คนไข้

เกิดภาวะแปรปรวนต่างๆขึ้น ขอให้ตั้งสติ! อย่าตกใจกลัวมากเกินไป

เพราะอาการจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น!! ให้คนไข้หายใจเข้า...หายใจออก....ช้าๆ..

ถ้ารู้สึกหายใจไม่ทันให้หาถุงพลาสติกมาครอบบริเวณจมูกและปากเอาไว้

เพื่อควบคุมอ๊อกซิเจนในการหายใจให้เพียงพอ จากนั้นให้คนไข้ทานยา

บรรเทารักษาอาการต่างๆ ที่มีไว้ในบ้านเป็นประจำ!! ให้นั่งในท่าพิงผนัง

ยกลำตัวและศีรษะให้สูง ปล่อยตัวตามสบาย สังเกตุอาการ...

ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น!! จึงรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล ค่ะ

ฉันก็ทำตามที่แพทย์เจ้าของไข้ท่านนั้นให้คำแนะนำมาตลอด

ท่านเป็นอาจารย์หมอหนุ่มที่เก่งมากเรื่องสมองและการรักษา

ผู้ป่วยทางสมองค่ะ ฉันโชคดีมากจริงๆ ที่ได้เจอท่าน "